ผู้ประกอบการทุกท่านครับ วันนี้พวกเราอยู่ในโลกของการทำงานหนัก การแข่งขัน และหาทางรอดให้กับธุรกิจ เราเรียนรู้ทุกๆทางที่จะลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพ สิ่งที่ต้องแลกกับการทำงานหนัก ก็คือความเครียดที่สะสมไว้ บางครั้งเราเองแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเราเครียด แต่มันสะสมอย่างต่อเนื่อง เรานำความเครียดติดตัวกลับบ้าน ส่งผลลบต่อความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เราหาทางระบายออก ด้วยวิธียอดนิยม นั้นคือ เราหยิบมือถือขึ้นมาเล่น และคิดว่าจะช่วยให้ความเครียดลดลงได้ แต่ปรากฏว่า เราดันไปเจอเพื่อนลงรูปตอนไปเที่ยวทำให้เรา รู้สึกเครียดมากขึ้น เครียดเพราะเรามักจะเปรียบเทียบรูปของเพื่อนแล้วหันมามองตัวเองว่า ตัวเราทำอะไรอยู่กันแน่ รู้สึกว่าไร้ค่า ในบางครั้ง เมื่อความเครียดสะสมหนาขึ้นมาก ทำให้เกิดอาการที่คาดไม่ถึงขึ้นมากับร่างกายเรา อย่างกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ส่งผลให้คุณหมอหาสาเหตุไม่เจอ
เราลืมไปว่าร่างกายของเราก็เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ที่มีทั้งส่วนที่เป็น Hardware เปรียบเสมือนเหมือนร่างกายคนเรา ส่วน Software ที่คอยรันชีวิตนั้น ก็คือในจิตใจของเรานั้นเอง เรามัวแต่หาสาเหตุและซ่อมที่ Hardware อย่างเดียวไม่ได้ เราต้องหาทาง Re-Install จิตใจของเราใหม่ ให้ควาเครียดที่เปรียบเสมือนไวรัสคอมพิวเตอร์ให้มันหายไป เราต้องลง Anti-Virus ด้วยวิธีต่างๆ เรามาลองดูวีธีเหล่านี้ดูครับ แล้วเราจะได้ ก้าวเดินต่อไปและใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ทั้งภายในและภายนอก
10 วิธีในการจัดการกับความเครียด มีดังนี้
การนอนให้มีคุณภาพ
ออกกำลังกาย วันละนิดหน่อย 15-30 นาทีก็เพียงพอ
จัดการความเครียดด้วยอาหารที่มีประโยชน์
ลองหามุมเพื่อนั่งสมาธิสัก 10-15 นาทีดู
จัดการกับต้นเหตุของความเครียดด้วยการเผชิญหน้า และแก้ไขมัน
หางานอดิเรกที่ใช้การลงมือทำ
เปลี่ยนสภาพแวดล้อม เปลี่ยนให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น เป็นระเบียบมากขึ้น หรือเปลี่ยนที่ใหม่เลย
จัดลำดับความสำคัญของงานที่จะทำในวันนั้น
จัดตารางสำหรับการพักด้วย
พยายามลดสิ่งที่รบกวน เราให้ได้มากที่สุด
แก้ไขด้วยการนอนให้มีคุณภาพ
การนอนหลับ คือการที่ฟื้นฟูความสมดุลได้ดีที่สุดในโลก การนอนช่วยให้ เซลล์ในร่างกาย สร้างขึ้นมาใหม่ในทุกๆส่วนของร่างกาย เหมือนเป็นการกดปุ่ม Reset เครื่องใหม่ ความเครียดต่างๆ จะมีกระบวนการถูกจัดการ การนอนหลับให้มีคุณภาพ คือพยายามนอนเร็วขึ้น พยายามทำห้องให้มืดสนิท ทำต่อเนื่องให้ได้สักหนึ่งอาทิตย์ จะทำให้ร่างกายสร้างจังหวะการนอนที่ดีขึ้นครับ เมื่อเราเริ่มหาวในช่วงเวลาเดิมๆ แปลว่าร่างกายเราเริ่มจำจังหวะนั้นได้แล้ว ก่อนนอนสักสองชั่วโมง พยายามไม่ดูหน้าจอทุกอย่าง เพราะสมองจะไม่สามารถ Re-set ความเครียดที่ค้างอยู่ได้ ขอบอกนะครับว่าการนอนไม่สามารถจัดการที่ตัวปัญหาได้ แต่ความเครียดจะลดลง เช้าวันต่อมาเราจะมีมุมมองในการจัดการปัญหาเดิมๆนั้นใหม่ ลองทดลองดูครับ
ออกกำลังกาย วันละนิดหน่อย 15-30 นาทีก็เพียงพอ
การออกกำลังกาย อย่างการเดิน หรือวิ่ง ผมว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ในการลดความเครียด เมื่อเราเดินหรือวิ่ง หัวสมองจะโล่ง ร่างกายจะหลั่งอะดรีนาลีน มาช่วยลดความเครียดที่สะสมในร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม การเล่นโยคะ ก็เป็นการออกกำลังกาย ที่สร้างความสมดุล ทั้งร่างกาย ลมหายใจ และ ความสงบในจิตใจ คล้ายๆกับการวิ่งครับ พยายามลองทำดู ร่างกายที่แข็งแรงจะทำให้จิตใจแข็งแรงขึ้น
จัดการความเครียดด้วยอาหารที่มีประโยชน์
ลองนึกถึงช่วงเวลาที่เราเครียดจากการทำงานดูครับ วันนั้นเราจะกินทุกอย่าง แบบจัดเต็ม จะหวาน จะทอด จะมัน มาหมดขอให้บอก เวลาเราเครียดร่างกายจะปล่อยฮอร์โมน คอร์ติซอล ส่งมาให้เกิดความอยากเกิดขึ้น อยากกินของหวาน อยากอัดบุหรี อยากดื่มเหล้า ขึ้นอยู่กับร่างกายเคยจดจำอะไรมา มันก็อยากจะจัดสิ่งนั้น ยิ่งเราตามใจร่างกายมากเท่าไหร่ ของเหล่านั้นจะส่งผลต่อเนื่องทำให้เราไม่มีพลังเหลือพอในการจัดการกับปัญหา ลองนึกถึงการประชุมช่วงบ่าย ในวันที่เราทานอาหารจัดเต็มดูครับ มันไม่เหลือพลังในการหาไอเดียใหม่ๆ มาแก้ปัญหาได้เลย
ดังนั้น เราต้องหมั่นหาอาหารที่มีประโยชน์ทานครับ มีสารอาหารที่พอดี โปรตีน ไขมันที่ดี มีเส้นใย มีน้ำตาลน้อย ทานแต่พอดี เราจะมีพลังเหลือพอที่จะกลับมาลุยต่อในช่วงบ่ายได้เลย
ลองหามุมเพื่อนั่งสมาธิสัก 10-15 นาทีดู
การหายใจเข้าออกยาวๆ นั้นสำคัญกว่าที่เราคิดมากนะครับ ทุกวันที่เรารู้สึกเครียด เรามักจะลืมหายใจยาวๆกัน เราหายใจแค่สั้นๆเท่านั้น และนั้นก็จะส่งผลต่อสมองเราและร่างกายของเราโดยตรง เวลาที่เราหายใจยาว อ๊อกซิเจนที่เข้าไปที่สมองจะมากขึ้น กล้ามเนื้อเราผ่อนคลาย ลดระดับความดันเลือดลง ยังทำให้จิตใจเราสงบอีกด้วย
การนั่งสมาธิ เป็นการกำหนดจิตให้ตามอามณ์ที่เกิดจากใจของเรา ทำให้เรารู้สึกโปร่งโล่งในหัว และมีสติมากขึ้นในการอยู่กับปัจจุบัน
จัดการกับต้นเหตุของความเครียดด้วยการเผชิญหน้า และแก้ไขมัน
ข้อนี้เอาไว้สำหรับคนที่มีปัญหาความเครียด ที่เกิดปัญหาระหว่างคน โดยเฉพาะเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้าที่เราทำงานด้วย ผมแนะนำให้ หาจังหวะเหมาะและชวนเขาคุยกันแบบ 1-on-1 เลย และพยายามใช้คำพูด ด้วยความใจเย็น และพูดที่สิ่งที่เป็นปัญหา ไม่ใช่พูดว่าที่ตัวหรือนิสัยของเขาโดยตรง
ถ้าจำเป็นต้องพูดถึงนิสัยหรือการทำงานที่เกิดจากตัวผู้ที่เรามีปัญหาด้วย แนะนำให้ใช้การพูดโดยให้ Positive Feedback คือพูดในสิ่งที่ดีของเขา และพูดให้เขาช่วยแก้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แล้วเขาจะทำงานด้วยกันกับเราได้ดีขึ้น ในจังหวะนั้นก็ เปิดโอกาสให้เขาพูดให้ Feedback ในสิ่งที่เขาไม่ชอบในตัวเราด้วยครับ แต่ต้องอดทนฟังยาขมตัวนี้ให้ได้นะ ผมเอาใจช่วยครับ
ถ้ามีปัญหาที่ลึกกว่านั้น สิ่งที่เราแนะนำ คือ หาคนที่เราสามารถเล่าให้เขาฟังได้ ระบายมันออกไป เช่น พ่อแม่ สามี หรือภรรยาเรา หรือ แม้กระทั่งเพื่อนสนิท ถ้าไม่มี แนะนำลองหาจังหวะไปปรึกษากับคุณอาชีพเช่น คุณหมอจิตแพทย์ก็ช่วยได้นะครับ ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ
หางานอดิเรกที่ใช้การลงมือทำ
ชีวิตไม่ได้มีแค่การทำงานด้านเดียว ความเครียดสะสมเป็นสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมนัก บางคนจำเป็นต้องพูดคุยกับมืออาชีพ นักจิดวิทยาบำบัด นอกจากจะช่วยจัดให้เราในกรณีที่เครียดมากๆแล้ว พวกเขายังแนะนำให้เราหากิจกรรมที่เราสามารถทำได้ เพื่อช่วยเยียวยาจิตใจข้างในได้ อย่างการระบายสีน้ำ การวาดรูปสีอะคริลิค การทำงานไม้ การปั้นดิน การทำไหมพรม นิ้ตติ้ง การเขียนบทความ การแต่งกลอน การแต่งนิยาย การแสดงละคร การร้องเพลง การเต้น การไปตั้งแคมป์ การปลูกต้นไม้ การทำกิจกรรมเพื่อสังคมช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาส การสอนหนังสือ การเปิดโอกาสให้ตัวเองพบกับสิ่งใหม่ๆ
เปลี่ยนสภาพแวดล้อม เปลี่ยนให้ดีขึ้น สะอาดขึ้น เป็นระเบียบมากขึ้น หรือเปลี่ยนที่ใหม่เลย
จัดโต๊ะทำงาน ทำความสะอาด ลุยซักผ้า ทิ้งของที่ไม่จำเป็น จัดบ้านใหม่ เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เชื่อมั้ยครับ ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เราหายเครียดได้เยอะเลย การที่เราอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ เราจะมีพฤติกรรมในทางที่ดีขึ้น เป็นบวกขึ้น บางคนอาจจะย้ายบ้านหรือ เดินทางไปเที่ยว ไปศึกษาต่อ แล้วค่อยกลับมาลุยใหม่ก็ทำได้ เหมือนกัน
จัดลำดับความสำคัญของงานที่จะทำในวันนั้น
เราลองสังเกตดูนะครับ ว่าช่วงไหนของวันสมองมีพลังมากที่สุด ของผมคือในตอนเช้า ดังนั้นผมจะวางแผนในช่วงก่อนนอน ว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรก่อนหลัง งานที่สำคัญที่สุด ยากที่สุด ไม่อยากทำที่สุด ผมจะทำมันเป็นสิ่งแรก หลังจากเคลียได้ ผมก็จะทำงานที่สำคัญน้อยกว่า อีก1-2 งานก็เพียงพอกับงานทำงานในวันนั้นแล้ว ส่วนงานสำคัญน้อยๆ อย่างเช็คอีเมล์ ตอบ Line เพื่อนๆ ผมจะเลือกไปทำช่วงบ่ายๆแก่ๆ พอให้สมองได้ CoolDown ลงไปตามลำดับ ลองจัดตารางเวลาการทำงานล่วงหน้า ดูกันครับและลองใส่หมายเหตุว่า แต่ละงานเราต้องการผลลัพธ์อะไร เพื่อให้งานออกมาได้ดีที่สุดครับ
จัดตารางสำหรับการพักด้วย
หัวข้อที่ผ่านมานั้นคือการวางแผนการทำงานที่สำคัญ ในระหว่างงานนั้น เราลองเซ็ทเวลาไว้สัก 10-15 นาที ไปพักด้วยการทำกิจกรรมง่ายๆ อย่างไปทานน้ำ เดินเล่นข้างนอก เดินไปคุยกับเพื่อนร่วมงาน แต่อย่านำเวลาพักไปเล่นมือถือนะครับ เพราะมันจะไม่ช่วยให้ความเครียดลดลงเลย กลับเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ
พยายามลดสิ่งที่รบกวน เราให้ได้มากที่สุด
ความเครียดจากการทำงาน ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่พอใจ ของคนอื่น หรือต่อตัวเอง จากงานที่เราได้ไม่เต็มร้อย การผลัดวันประกันพรุ่ง มีสาเหตุมาจาก ในแต่ละวันเราโดนรบกวน จากสิ่งต่างๆรอบๆตัว เพื่อนร่วมงานขอให้ช่วยงานเขา หัวหน้าสั่งงานซ้ำซ้อน แต่ที่ดึงดูดความสนใจเรามากที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ ทำให้เกิดทำงาน 30 นาทีแต่เรา เผลอใช้เวลาทำไปถึง 3 ชั่วโมง เพราะมัวแต่ตอบคำถามเพื่อนใน Line Facebook IG หรือแม้กระทั่งดูคลิบบน Youtube ก็ตาม พยายามกำจัดตัวก่อกวนพวกนี้ครับ ปิดมือถือ ไปนั่งทำงานที่เงียบๆ และใช้หูฟังเก็บเสียง
ฟังบน Noonnum Podcast EP46 : 10 วิธีขจัดความเครียดที่เห็นผลที่สุด
ล่าสุดผมได้ทดลองใช้ App Forest ที่เข้ามาช่วย Block ไม่ให้ผมเผลอเล่นมือถือหรือโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นแอพที่สนุกมาก และช่วยให้โฟกัสในการทำงานได้มากขึ้น เอาไว้บทความหน้าผม มารีวิวเต็มๆให้ฟัง ดีมาก ทำให้ผมสามารถโฟกัสในการทำงานได้มากขึ้น และสนุกในการทำงานมากขึ้นด้วยครับ สำหรับใครเครียดเรื่องไม่รู้ว่าจะสร้างเว็บไซต์อย่างไร หรือไม่มีใครช่วยหาลูกค้าให้สามารถติดต่อเราทีมหนุนนำได้นะครับ เราช่วยธุรกิจให้ทุกคนเติบโตในโลกออนไลน์ครับ สามารถคลิ๊กติดต่อเราได้ที่ลิงค์นี้ หรือติดต่อผ่าน Line : @noonnum
Comments